ส่งงานการถ่ายรูปสินค้า

ภาพ : แหวนหลังปลากระเบน

โดย : นาย เจนศิลป์  วงศ์เจริญ 

ชั้น ม.6/1 เลขที่ 13 โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์

ทีมฟุตบอลที่ชอบ

                     คาเด็นซ่าสตูลยูไนเต็ด

ย้อนอดีตไปสมัยปี 33-34 "หมอผีสตูล" เป็นฉายาที่ผู้สื่อข่าวฟุตบอลยุคนั้นขนานให้ ด้วยนักเตะสตูลมักเล่นไสยศาสตร์ก่อนลงสนาม กระทั่งคว้าแชมป์ยามาฮ่าไทยแลนด์คัพสองสมัยซ้อน จากรอบชิงชนะเลิศเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างชลบุรีที่เต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติด้วยผล 3-1 ขณะสตูลเป็นทีมภูธรที่ร่วมฟาดแข้งแบบไม่มีใครรู้จัก ถึงขนาดไม่ทราบว่าสตูลอยู่ภาคไหนของประเทศ ที่สำคัญบรรดากองเชียร์ยุคนั้นสวม "ฮิยาบ"ผ้าคลุมศีรษะที่สตรีมุสลิมใช้ปกปิดเรือนผมพร้อมหน้ากากผีเข้าเชียร์ทุกนัด ด้วยเหตุนี้หนังสือสยามกีฬารายวันได้พาดหัวพร้อมรูปบนหน้า1และขนานนามให้ว่า "หมอผีสตูล" จากนั้นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่รายงานข่าวฟุตบอลยามาฮ่าไทยแลนด์คัพก็เรียกทีมสตูลว่า "หมอผีสตูล" ทั่วกันถึงทุกวันนี้ ยุคนั้นไม่มีทีมไหนเลยที่กองเชียร์คลั่งไคล้เกมฟุตบอลถึงขนาดจัดรถบัสนับ10คันขึ้นไปเชียร์ทีมรักเช่นชาวสตูล หนังสือพิมพ์ทุกหัวต่างตีข่าวด้วยความตกตะลึง เนื่องจากไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน ขณะที่การลงสนามวอร์มกล้ามเนื้อของนักเตะสตูลก่อนการแข่งขันนักเตะจะไม่เดินลงสนามบริเวณเส้นกลาง แต่จะลงจากหลังประตูหรือมุมธงฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แม้ในยุคฟุตบอลลีกก็มีให้เห็นทุกนัดที่สตูลเตะในบ้าน กระทั่งแฟนบอลทีมเยือนส่วนใหญ่มักเอ่ยปากว่าโดน "ของ" หมอผีสตูลเล่นเข้าให้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของทีมฟุตบอลจังหวัดสตูลในยุครุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันนั้นได้รับการยืนยันจากผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลสตูลหลายท่านว่า "ไม่ใช่เพราะใสยศาสตร์หรือการเล่นของแต่อย่างใด" หากแต่เป็นความสามารถของบรรดานักเตะและการเตรียมทีมเป็นอย่างดี และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นคือ อาจารย์ อนันต์ สุริยกานนท์ อาจารย์ อนิรุทธ์ กอมะ และเหล่าทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายท่าน ปัจจุบันกองเชียร์ทีมฟุตบอลสตูลกำลังรอการกลับมาของความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยในบริบทและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

อาหารที่ชื่นชอบ

                                 มัสมั่นไก่

            แกงมัสมั่นไก่เป็นอาหารที่มีรสชาติไม่เผ็ดมาก เหมาะสำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบทานเผ็ด นอกจากนี้แกงมัสมั่นยังเป็นแกงที่มีรสชาติกลมกล่อมอร่อย เพียงลิ้นสัมผัสกับเนื้อนุ่มๆ ของไก่ ที่ผสมคลุกเคล้าจนเข้ากันกับเครื่องแกง รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยอย่าบอกใครกันได้แล้วค่ะ สำหรับใครที่สนใจวิธีทำตามมาดูกันเลยดีกว่า

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

ส่วนผสมและเครื่องปรุงแกงมัสมั่น- เนื้ออกไก่ 5 ขีด

- หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง

- หางกะทิ 3 ถ้วยตวง

- น้ำปลาอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ

- มะขามเปียกข้นๆ 3 ช้อนโต๊ะ

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

- ลูกกระวานทุบพอแตก 3 ลูก

- ใบกระวาน 3 ใบ

- หัวหอมแดง 10 หัว

- มันฝรั่งหั่นเป็นชิ้นๆ 1 ถ้วยตวง

- มันเทศหั่นเป็นชิ้นๆ 2 ขีด

- ถั่วลิสงคั่ว 1 ขีด

- เครื่องปรุงรสไก่ชนิดผง 1 ช้อนชา

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

ส่วนผสมเครื่องน้ำพริกแกงมัสมั่น- พริกชี้ฟ้าแห้ง 7 เม็ด

- ตะไคร้  2 ต้น

- หัวหอมแดง 3 หัว

- กระเทียม 10 กลีบ

- ข่าแก่ 1 แง่ง

- พริกไทย 7 เม็ด

- รากผักชี 3 ราก

- ยี่หร่าคั่วป่น 1 ช้อนชา

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

- กานพลู  3 ดอก

- อบเชยคั่วป่น  ½ ช้อนชา

- ลูกจันทร์คั่วป่น  ½ ช้อนชา

- ดอกจันทร์คั่วป่น  ½ ช้อนชา

- กะปิอย่างดี  ½ ช้อนชา

- น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

ขั้นตอนการทำเครื่องแกงมัสมั่นไก่- พริกชี้ฟ้าแห้งนำมาหั่นเป็นท่อนๆ แช่น้ำไว้ให้นิ่มแล้วบีบน้ำออกให้แห้งพักไว้

- ตะไคร้ล้างให้สะอาด แล้วซอยละเอียดพักไว้

- หัวหอมแดงปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้

- กระเทียมปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาดหั่นพักไว้

- ข่าแก่หั่นเป็นแว่นบางๆ 2 ชิ้น

- รากผักชีล้างให้สะอาด นำไปซอยแล้วพักไว้

- จากนั้นนำเครื่องแกงทั้งหมดมาโขลกให้ละเอียด แล้วพักไว้

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

ขั้นตอนและวิธีการแกงมัสมั่นไก่- นำกระทะตั้งเตาใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืชที่เตรียมไว้ลงในกระทะรอจนน้ำมันร้อน

- นำพริกแกงลงไปผัดให้ได้กลิ่นหอม แล้วปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขามเปียก และผงปรุงรส ชิมรสชาติให้ได้รสที่เข็มข้น

- จากนั้นเติมถั่วลิสงคั่วลงไปผัด คนให้เข้ากัน

- ตามด้วยเติมหัวกะทิลงไปผัด 1 ถ้วยตวง ผัดจนมีกลิ่นหอม ถ้าน้ำพริกแห้งเกินไปให้ค่อยๆ เติมหางกะทิลงไป

‘แกงมัสมั่นไก่’ รสชาติกลมกล่อมอร่อยลองแล้วต้องติดใจ

- ผัดจนกะทิแตกมันและมีกลิ่นหอม ให้ใส่ไก่ลงไปพร้อมลูกกระวาน และใบกระวานเคียวจนมีกลิ่นหอม

- ใส่มันฝรั่ง และมันเทศลงไป ตามด้วยหัวกะทิที่เหลือ

- เคียวด้วยไฟอ่อนๆ จนเนื้อไก่เปื่อย ชิมรสอีกครั้งให้ได้รสชาติที่ถูกใจ เป็นอันเสร็จปิดไฟพร้อมตักเสริฟกันได้เลย

แกงมัสมั่นไก่เป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม เป็นเมนูอาหารที่สามารถหารับประทานกันได้ง่ายๆ เพราะเป็นอาหารที่ถูกปากคนไทย มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากเหมาะสำหรับทำรับประทานเป็นอาหารมื้อเย็นรับประทานพร้อมกับครอบครัว

บุคคลที่ชื่นชอบ

            อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ (เกิด 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498) จิตรกรไทยมีผลงานจิตรกรรมไทยหลายอย่าง ได้มีผลงานเช่น ภาพจิตรกรรมไทยในอุโบสถวัดพุทธประทีป
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, เขียนภาพประกอบบทพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก และผลงานศิลปะที่ วัดร่องขุ่น ซึ่งมีทั้งงานสถาปัตถยกรรม, ประติมากรรมปูนปั้น และงานจิตรกรรมไทย

ประวัติ

เป็นจิตรกรที่มีฝีมือเป็นที่ยอมรับท่านหนึ่งของประเทศไทย เป็นชาวหมู่บ้านร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายฮั่วชิว แซ่โค้ว
(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายไพศาล) และนางพรศรี อยู่สุข​ทำคลอดด้วยหมอตำแยชื่อยายตุ่น ชีวิตตอนเด็กๆ เป็นคนเกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่มีความชอบวาดรูป
จึงพยายามเข้าเรียนที่เพาะช่าง และมหาวิทยาลัยศิลปากร เคยได้รับเหรียญทองจากการประกวดผลงานระดับชาติ ในตอนที่เรียนอยู่ตอนปีที่ 4
มีผลงานรูปวาดตามผนังของวัดไทยมากมาย ผลงานปัจจุบัน ท่านตั้งใจที่จะสร้างวัดร่องขุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ด้วยศิลปะสมัยใหม่

ผลงาน

การแสดงผลงาน เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จัดแสดงผลงานเดี่ยว และร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการสำคัญต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ

ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 จนถึงปัจจุบัน

    * พ.ศ. 2523 เป็นประธานก่อตั้งกลุ่ม "ศิลปไทย 23" เพื่อต้านอิทธิพลศิลปะจากยุโรป อเมริกา
    * พ.ศ. 2527 เริ่มโครงการจิตรกรรมฝาผนังวัดพุทธประทีป กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเดินทางไปเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดพุทธปทีป โดยไม่คิดค่าจ้าง
    * พ.ศ. 2539 เริ่มดำเนินการออกแบบก่อสร้างอุโบสถ วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย บ้านเกิดของตนถวายเป็นพุทธบูชาจนถึงปัจจุบัน

รางวัลและเกียรติยศ

    * พ.ศ. 2520 - รางวัลที่ 1 เหรียญทอง จากการประกวดจิตรกรรมบัวหลวง ครั้งที่ 3
    * พ.ศ. 2520 - รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 จากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 25
    * พ.ศ. 2522 - รางวัลที่ 2 เหรียญเงิน จากการประกวดจิตรกรรมบัวหลวง ครั้งที่ 4 ของธนาคารกรุงเทพ
    * พ.ศ. 2536 - ได้รับเครื่องหมายเกียรติคุณบุคคลตัวอย่างผู้สร้างเสริมงานวัฒนธรรมด้าน จิตรกรรม จาก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
    * พ.ศ. 2537 - ได้รับโล่เชิดชูเกียรติ "เพชรสยาม" (สาขาจิตรกรรม) จากสถาบันราชภัฎจันทรเกษม
    * พ.ศ. 2538 - ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เขียนภาพประกอบ บทพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก"
และออกแบบเหรียญพระราชทานคณะแพทย์
    * พ.ศ. 2543 - ที่ปรึกษากรมศิลปากร งานเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวัง
          o ที่ปรึกษาธนาคารแห่งประเทศไทย ออกแบบธนบัตรราชาภิเษกสมรส ครบ 50 ปี
          o ถวายการสอนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์

ทุนที่ได้รับ

    * พ.ศ. 2523 - ทุนจากกลุ่มศิลปินร่วมสมัยของศรีลังกา ร่วมกับสถานทูตไทยในโคลัมโบให้พำนักศึกษา พุทธศิลป์ เป็นเวลา 6 เดือน และทุนในการแสดงผลงาน
    * พ.ศ. 2524 - ทุนจากโยฮันเนส ซุลทส์เทสมาร์ ให้พำนักและแสดงผลงานในเยอรมนีเป็นเวลา 6 เดือน - ได้รับเชิญจากบริติชเคาน์ซิล ให้ไปดูงานศิลปะ
และพบศิลปินมีชื่อของอังกฤษ
    * พ.ศ. 2526 - ทุนจากทูตวัฒนธรรมเยอรมนี ไปศึกษาดูงานพุทธศิลป์ ในประเทศพม่า
    * พ.ศ. 2527 - ทุนจากมูลนิธิวัดพระพุทธศาสนา ณ กรุงลอนดอน และรัฐบาลไทยในการเขียนภาพจิตรกรรม ฝาผนัง วัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน
    * พ.ศ. 2532 - ทุนจากกงสุลเยอรมนีในซานฟรานซิสโก แสดงผลงานในสหรัฐอเมริกา
    * พ.ศ. 2539 - ทุนจากกงสุลไทยในแอลเอ ร่วมกับสภาศิลปกรรมไทยในสหรัฐอเมริกาเพื่อเดินทางไปแสดงผลงาน เนื่องในโอกาสเปิดสถานกงสุลไทย

อาชีพที่ใฝ่ฝัน

                                           จป.วิชาช

จป.วิชาชีพ ย่อมาจาก เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานวิชาชีพ (Safety Officer) ซึ่งมีหน้าที่ในการคอยดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน และให้ปฏิบัติไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยเป็นตำแหน่งที่กฎหมายได้กำหนดบังคับให้นายจ้างต้องมี ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ, การไฟฟ้า, การประปา, โรงแรม, โรงพยาบาล, งานเหมืองแร่และถ่านหิน, ห้างสรรพสินค้า, สถาบันการเงิน เป็นต้น

บทบาทและหน้าที่ของ จป.วิชาชีพ มีอะไรบ้าง?
– คอยตรวจสอบและเสนอแนะให้นายจ้างทราบและปฏิบัติตามกฎหมายในด้านความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมต่างๆ ในการทำงาน
– ต้องประเมินความเสี่ยงต่างๆ ในการทำงานให้มีความปลอดภัยมากที่สุด
– ต้องวิเคราะห์งานเพื่อให้นายจ้างเห็นว่ามีตรงไหนที่อันตรายบ้าง เพื่อเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันให้มีขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัย
– คอยวิเคราห์แผนโครงงานต่างๆ และการเสนอแนะในมาตรการความปลอดภัยที่จะทำให้การทำงานมีความปลอดภัยมากที่สุดต่อนายจ้าง
– คอยประเมินการปฏิบัติงานต่างๆ ภายในองค์กรให้เป็นไปตามแผนงานในการสร้างความปลอดภัยให้แก่การทำงาน
– คอยให้คำแนะนำและมีการฝึกอบรมลูกจ้างให้มีการปฏิบัติงานที่ถูกต้องเพื่อให้ปลอดภัยจากเหตุอันตรายในการทำงาน
– คอยตรวจวัดและประเมินผลสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งอาจร่วมดำเนินการกับบุคคล หรือหน่วยงานที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– คอยเสนอแนะให้นายจ้างจัดการด้านความปลอดภัยในสถานที่ทำงานและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
– การปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัยตามที่นายจ้างได้มอบหมายให้ทำ
– คอยตรวจสอบและวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกิดการเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย รวมทั้งเหตุเดือดร้อนสร้างความรำคาญใจในการทำงาน เพื่อให้เกิดการป้องกันอย่างถูกวิธีและเร่งด่วน
– คอยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แล้วจัดทำเป็นรายงานสถิติถึงการเจ็บป่วย หรือการได้รับบาดเจ็บและอันตราย รวมทั้งความเดือดร้อนหรือรำคาญในการทำงานต่างๆ ให้นายจ้างได้รับรู้

          

My Idol

              มาร์ก มาร์เกซ อาเลนตา 

             มาร์ก มาร์เกซ อาเลนตา (สเปน: Marc Márquez Alentà) นักแข่งรถชาวสเปน เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกโมโตจีพี 3 สมัย, อดีตแชมป์โลกโมโตทู และอดีตแชมป์โลก 125 ซีซี และเป็นพี่ชายของอาเลกซ์ มาร์เกซ อดีตแชมป์โลกโมโตรที

มาร์ค มาร์เกวซ เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี 1993 ที่เมือง เยย์ดา ประเทศสเปน ก่อนย้ายมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และ อเล็กซ์ น้องชายของตัวเองที่เซร์เบรา เมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของสเปน ซึ่งเมื่อ มาร์เกวซ อายุครบ 4 ปี เจ้าตัวก็ได้ร้องขอให้คุณพ่อซื้อรถมอเตอร์ไบค์คันเล็กเป็นของขวัญวันคริสมาสต์ ซึ่งคุณพ่อก็ตัดสินใจมอบให้พร้อมกับพาไปฝึกซ้อมขี่รถในละแวกแถวบ้าน จนกระทั่งเมื่ออายุ 5 ขวบ เจ้าตัวก็ได้ตัดสินใจลงแข่งขันรถจักรยานยนต์ประเภท เอ็นดูโรรุ่นเด็ก แม้จะไม่อาจคว้าชัยชนะได้แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับว่าที่แชมป์โลก โมโต จีพี ในอนาคต

หนุ่มน้อยจากแคว้นคาตาโลเนียเดินสายลงแข่งขันรายการต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยสหพันธ์รถจักรยานยนต์แห่งคาตาลัน เช่น มอนติ คัพ ให้กับทีมโปรเคิร์ฟ ต้นสังกัดในเวลานั้น และช่วยให้ทีมคว้าอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์ในปี 2002 ก่อนจะยกระดับไปลงแข่งรายการที่ใหญ่กว่าเดิมอย่าง Open RACC 50 ในปีต่อมา แม้จะหวังเพียงแค่เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อพัฒนาฝีมือ แต่กลับทำผลงานได้ดีจนคว้าแชมป์โลกรายการนี้ได้ท่ามกลางความประหลาดใจของเจ้าตัวและทีมงาน

มาร์เกวซ เดินสายล่ารางวัลอย่างต่อเนื่องที่บ้านเกิด ในปี 2003 รวมถึงมีโอกาสเข้าไปสัมผัสการแข่งขันประเภทอื่นอย่างรุ่น KTM ปี 2007 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ทว่าจุดเปลี่ยนก็มาถึงในช่วงปลายปี 2007 เมื่อ เอมิลิโอ อัลซาโมร่า อดีตนักบิดรุ่น 125 ซีซี ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญของฮอนด้า ต้นสังกัด มอบโอกาสสำคัญให้เจ้าตัวเข้าร่วมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรุ่น 125 ซีซี ในฤดูกาลถัดไป แน่นอนว่ามาร์เกวซไม่ปฏิเสธโอกาสทองที่ทีมงานหยิบยื่นเข้ามาให้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเป็นนักบิดอาชีพของมาร์เกวซก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อช่วงเริ่มต้นเจ้าตัวประสบปัญหากับการปรับตัวเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์จนได้รับบาดเจ็บจากการซ้อมอยู่หลายครั้ง ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในสนามที่ 3 ของปีที่เอสโตริล ประเทศโปรตุเกส ในเดือนเมษายน แม้จะออกสตาร์ทไม่สวยนัก จบอันดับ 18 ของรายการ แต่สนามต่อไปที่เซี่ยงไฮ้ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต สาธารณรัฐประชาชนจีน มาร์เกวซก็สามารถประเดิมเก็บแต้มแรกในรุ่นนี้ได้สำเร็จ หลังวิ่งเข้าเส้นชัยอันดับ 12 ก่อนจะทยอยเก็บแต้มในสนามต่างๆ และปิดฉากปีแรกด้วยผลงานจบที่อันดับ 13 บนตาราง ชิงแชมป์โลก มี 63 แต้ม ซึ่งผลงานดีที่สุดคือการขึ้นโพเดียมอันดับ 3 ที่โดนิงตัน พาร์ค ประเทศอังกฤษ แม้ว่าปีนั้นเจ้าตัวจะต้องปิดฤดูกาลก่อนกำหนดเนื่องจากประสบปัญหาบาดเจ็บที่กระดูกขาหักในสนามที่มาเลเซีย ก็ตาม

เข้าสู่ปี 2009 มาร์เกวซ ลงสนามแข่งฤดูกาลใหม่พร้อมประทับหมายเลข 93 ซึ่งเป็นปีเกิดของตัวเอง (เกิดปี 1993) บนชุดแข่งและคอนโซลหน้ารถ โดยมาร์เกวซเริ่มฉายแววความเก่งกาจทำผลงานเก็บคะแนนเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ จนขยับขึ้นมาจบที่อันดับ 8 ของฤดูกาล มี 94 แต้ม เรียกว่าผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดปี 2010 มาร์เกวซก็จัดการประเดิมคว้าแชมป์รายการแรกของตัวเองที่มูเจลโล่ ประเทศอิตาลี ก่อนปิดฉากฤดูกาลดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการ คว้าแชมป์โลกรุ่น 125 ซีซี มาครองได้สำเร็จ จากผลงานสุดยอดซิวแชมป์ 10 สนาม จาก 17 สนามที่ลงแข่งขัน เก็บไป 310 แต้ม ด้วยกัน

จากผลงานประลองความเร็วอันน่าทึ่งในรุ่น 125 ซีซี ทำให้มาร์เกวซได้รับการผลักดันไปสู่เวทีที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการแข่งขันในรุ่น โมโตทู ในปี 2011 ให้กับทีม คาตาลุนญ่า เรปโซล ทีมย่อยของฮอนด้า และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ทีมงานต้องผิดหวังเมื่อประเดิมออกสตาร์ทคว้าแชมป์ที่สนามบูกัตติ เซอร์กิต ประเทศฝรั่งเศส ก่อนซิวแชมป์เพิ่มอีก 6 สนาม ก่อนปิดซีซั่นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ เฉือนกับ สเตฟาน บราเดิล คู่แข่งชาวเยอรมนีไปแบบปลายจมูก พร้อมกับได้รางวัลรุกกี้ยอดเยี่ยมประจำปีไปครองเป็นการปลอบใจ อย่างไรก็ตาม มาร์เกวซ ก็มาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้ในปีถัดไป จากสุดยอดผลงานแชมป์ 9 สนาม บวกกับขึ้นโพเดียมอีก 5 สนาม จบฤดูกาลเก็บไป 328 แต้ม สร้างชื่อชั้นให้กับตัวเองในการแข่งขันระดับเวิลด์แชมเปียนชิป ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เข้าสู่ปี 2013 มาร์เกวซ ได้รับโอกาสสำคัญจากฮอนด้า เมื่อผลักดันเข้าสู่ทีมเรปโซล ฮอนด้า ทีมใหญ่ในรุ่น โมโต จีพี 1,000 ซีซี แทนที่ของ เคซีย์ สโตเนอร์ นักบิดรุ่นพี่จากออสเตรเลีย แชมป์โลก 2 สมัย ที่อำลาวงการ โดยมี ดานี่ เปโดรซ่า รุ่นพี่ชาวสเปนเป็นคู่หูและพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำปรึกษา มาร์เกวซต้องลงต่อสู้ในรุ่น โมโต จีพี ท่ามกลางคู่แข่งระดับพระกาฬอย่าง ฆอร์เก ลอเรนโซ่ แชมป์โลก 2 สมัยจากฝั่งยามาฮ่า และ “เดอะ ด็อคเตอร์” วาเลนติโน่ รอสซี่ แชมป์โลก 9 สมัย ชาวอิตาเลี่ยน แต่มาร์เกวซก็ยังทำผลงานของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ หลังประเดิมคว้าแชมป์แรกในสนามที่ 2 ของปี ที่เซอร์กิต ออฟ ดิ อเมริกันส์ สหรัฐอเมริกา ก่อนทยอยขึ้นโพเดียมเก็บคะแนนสะสมอย่างต่อเนื่องด้วยสไตล์การบิดอัน ดุดันชนิดไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแชมป์โลกจากทีมคู่แข่ง จนในที่สุดนักบิดชาวคาตาลันก็สามารถประกาศศักดาคว้าแชมป์โลก โมโต จีพี ครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จ หลังคว้าอันดับ 3 ในสนามสุดท้ายที่บาเลนเซีย ทำให้เจ้าตัวมีคะแนนสะสมเพิ่มเป็น 334 แต้ม แซงหน้า ฆอร์เก ลอเรนโซ่ รุ่นพี่จากฝั่งยามาฮ่าที่แย่งแชมป์กันอยู่ไปเพียง 4 แต้มเท่านั้น ก่อนเขียนบันทึกหน้าใหม่ของวงการโมโต จีพี ด้วยตำแหน่งแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการ (อายุ 20 ปี) ทั้งที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาลงแข่งรุ่นใหญ่สุดเพียงแค่ปีเดียว